i-mobile แนะนำแอนดรอยด์โฟน 2 ซิม 4 รุ่นใหม่ พร้อมด้วยแท็บเล็ต จอ 7 นิ้ว

i-mobile แนะนำสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รองรับ 2 ซิมการ์ด 4 รุ่นใหม่ ได้แก่ i-mobile i-STYLE 7.3A, 7.3, 8.1, IQ6.1 และ i-note 3 แท็บเล็ตจอสัมผัสกว้าง 7 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์สวยงามทันสมัยน่าใช้งานและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการดูหนัง, ฟังเพลงวิทยุ FM, เล่นเกมส์ หรือใช้เพื่อติดต่อสื่อสารกับบุคคล หรือองค์กรอยู่เป็นประจำทุกวัน

เริ่มจาก i-mobile i-STYLE 7.3A (สำหรับเครือข่าย AIS 900/2100MHz) ส่วน i-STYLE 7.3 (สำหรับเครือข่าย True, Dtac 850/2100MHz) สมาร์ทโฟนทั้งสองใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean มีหน้าจอสัมผัสกว้าง 4.5 นิ้ว แสดงผล 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch ความละเอียด 854×480 พิกเซล, กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด VGA, ใช้หน่วยประมวลผล MTK6572 Dual Core ความเร็ว 1.2GHz, RAM 512MB, ROM 4GB, รองรับการ์ดความจำภายนอก microSD สูงสุด 32GB, แบตเตอรี่ความจุ 1,500 mAh, รองรับการเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth, Micro USB

ตามด้วย i-mobile i-STYLE 8.1 สมาร์ทโฟนที่ออกแบบให้มีความบางเพียง 9.18 มิลลิเมตร มีหน้าจอขนาดใหญ่ 5.0 นิ้ว ระบบสัมผัส Multi-Touch ความละเอียด 480×854 พิกเซล, พร้อมชูจุดเด่นด้วยกล้องหลังที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean, RAM 1GB,ROM 4GB, สามารถเพิ่มการ์ดความจำภายนอก microSD สูงสุด 16GB, แบตเตอรี่ความจุ 2,000 mAh, รองรับการเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth, Micro USB นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นมาตรฐานอย่างแอพฯ Flash Light, Quick Office editors เป็นต้น

i-mobile IQ6.1 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมจุดเด่นด้วยเลนส์กล้องถ่ายรูปด้านหลังที่มีความละเอียดสูงถึง 18 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดย i-mobile IQ6.1 ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean มีหน้าจอสัมผัสกว้าง 5.0 นิ้ว แสดงผล TFT-LCD 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch ความละเอียด 720×1280 พิกเซล,ใช้หน่วยประมวลผลความเร็ว 1.5GHz, RAM 1GB, ROM 4GB, สามารถเพิ่มการ์ดความจำภายนอก microSD สูงสุด 16GB, แบตเตอรี่ความจุ 2,100 mAh, รองรับการเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth, Micro USB

สุดท้าย i-mobile i-note 3 แท็บเล็ตที่ให้มุมมองภาพสมจริง เพื่อการรับชมภาพยนตร์และวีดีโอได้กว้างมากยิ่งขึ้นด้วยหน้าจอที่มาในขนาด 7 นิ้ว จอแสดงผล TFT-LCD ระบบสัมผัส Multi-Touch ความละเอียด 1024×600 พิกเซล, มีกล้องหน้าและหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 Jelly Bean, ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm MSM8225 Cortex A5 Dual Core ความเร็ว 1GHz, RAM 512MB, ROM 4GB, สามารถเพิ่มการ์ดความจำภายนอก microSD สูงสุด 32GB, แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh, รองรับการเชื่อมต่อ WiFi, Micro USB

เปรียบเทียบ The new HTC One, Sony Xperia Z, LG Optimus G Pro

HTC ได้เผยโฉมสมาร์ทโฟน The new HTC One ที่เป็น “เดิมพันครั้งใหม่” สำหรับการแข่งขันที่ร้อนระอุในตลาดสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ชั้นนำ ซึ่งมีคู่แข่งที่เรียกว่า “สุดหิน” อย่าง Sony Xperia Z และ LG Optimus G Pro ที่ตั้งท่ารอก่อนหน้านี้ไม่นานนัก และแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนทั้งสามรุ่นคือคู่ชกที่กำหมัดรอคอยผู้ท้าชิงอย่าง Samsung Galaxy S IV ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มีนาคมนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นไหนจะยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของปี 2013 ได้กันแน่…

Sony Xperia Z ถูกเผยโฉมครั้งแรกในงาน CES 2013 เมื่อต้นปีโดยชูความโดดเด่นในเรื่องของคุณสมบัติ “กันน้ำ-กันฝุ่น” และ “ดีไซน์ที่สวยงาม” จนเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ในขณะที่ LG Optimus G Pro ถูกเผยโฉมครั้งแรกอย่างเป็นทางการในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ โดยนำเอา “ความใหญ่ของหน้าจอ” มาเป็นจุดขายหลักกระชากใจ และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด The new HTC One สมาร์ทโฟนที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกที่เปิดตัวในงาน MWC 2013 พร้อมกับคว้า “รางวัลสุดยอดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่”ที่ดีที่สุดซึ่งได้รับการโหวตจากผู้เชี่ยวชาญและสื่อมวลชนในวงการที่ไปชมงาน

อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบสมาร์ทโฟนทั้งสามรุ่นนั้นต้องใช้ข้อมูลสเปคมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ และแน่นอนว่าต้องไม่ลืมหยิบยกจุดเด่นของแต่ละเครื่องมาวัดกันด้วย

HTC One v.s. Sony Xperia Z v.s. LG Optimus G Pro

design – การออกแบบ

LG Optimus G Pro มาพร้อมหน้าจอใหญ่จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น “แฟ็บเล็ต” หรือมือถือกึ่งแท็บเล็ตตัวหนึ่งและต้องบอกว่าเรื่องดีไซน์นั้นแอบคล้ายกับ Samsung Galaxy Note II ในบางส่วน ในขณะที่เรื่องของวัสดุที่ใช้ประกอบเครื่อง The new HTC One ต่างกับอีกสองรุ่นโดย HTC เลือกใช้วัสดุ “อลูมิเนียม” อันทนทานแทนที่วัสดุพลาสติก ส่วนSony Xperia Z ใช้คำเรียกดีไซน์ตัวเครื่องในเชิงการตลาดว่า “OmniBalance” หรือดีไซน์ที่มาพร้อมกับความสมดุลทุกทิศทาง

Screen – หน้าจอ

ทั้งสามรุ่นไม่ลังเลที่จะชูจุดขายในเรื่องของความละเอียดหน้าจอระดับ Full HD 1080p แต่หากวัดกันที่ “ความหนาแน่นของพิกเซลต่อนิ้ว” แล้ว The new HTC One มีความละเอียดมากที่สุดในสามรุ่น (469ppi) แต่ถ้าเรื่องของ “ความใหญ่ของจอ” LG Optimus G Pro กินขาด

Processor – หน่วยประมวลผล

Sony Xperia Z ดูจะตามหลังเพื่อนเพราะว่ายังคงใช้งาน CPU Qualcomm Snapdragon S4 Pro ในขณะที่อีกสองรุ่นต่างนำ CPU รุ่นใหม่จาก Qualcomm ที่นำเสนอครั้งแรกในงาน CES มาใช้ นั่นคือ Snapdragon 600 ซึ่งทำงานประมวลผลได้มีประสิทธิภาพมากกว่า Snapdragon S4 Pro

Memory – หน่วยความจำ

HTC One ไม่มีช่องใส่หน่วยความจำภายนอกเพิ่มเติม ซึ่งไม่ยืดหยุ่นเท่าไรนัก โดย The new HTC One มีหน่วยความจำในเครื่องเริ่มต้นที่ 32GB และสูงสุด 64GB (จำหน่ายในบางประเทศ) ในขณะที่ทาง Sony Xperia Z มาพร้อมกับหน่วยความจำภายใน 16GB พร้อมรองรับ microSD card และ LG Optimus G Pro มีหน่วยความจำ 32GB พร้อมรองรับ microSD card

Camera – กล้องถ่ายรูป

เรื่องของกล้องถ่ายรูปนั้นสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นเอง หากวัดกันที่จำนวนจุดพิกเซล LG Optimus G Pro และ Sony Xperia Z ต่างมีกล้องความละเอียดสูงถึง 13 ล้านพิกเซลเท่ากัน แต่ภายในแตกต่างกันในเรื่องของฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ รวมถึงคุณภาพและรายละเอียดที่ต้องเจาะลึกมากกว่านี้ ส่วน HTC One นั้นแม้จะมีตัวเลขความละเอียดพิกเซลเพียง 4.3 ล้านพิกเซล แต่อย่าลืมว่านี่คือเทคโนโลยี “UltraPixel” ที่ทาง HTC งัดออกมาเพื่อเปลี่ยนความคิดและมุมมองของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเสียใหม่ โดยชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีจำนวนจุดพิกเซลเยอะๆ เสมอไป

Battery – แบตเตอรี่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า LG Optimus G Pro จะชิงความได้เปรียบที่สุดในแง่ของความจุแบตเตอรี่อันมหาศาลถึง 3,140mAh แต่ด้วยขนาดความกว้างของหน้าจอที่มากกว่าเพื่อนก็มีส่วนทำให้แบตเตอรี่ถูกใช้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

Price – ราคา

ทั้งสามรุ่นถูกเปิดตัวในต่างประเทศด้วยราคาตั้งแต่ 600 ยูโรขึ้นไป หรือประมาณ 23,200 บาท แต่สำหรับประเทศไทย ราคาของทั้งสามรุ่นยังไม่เปิดเผยออกมาในขณะนี้ และหากดูจากกำหนดการวางขาย The new HTC One และ Sony Xperia Z จะเข้ามาช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน ส่วน LG Optimus G Pro นั้นยังไม่ทราบว่าจะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยช่วงใด

ทั้งสามรุ่นที่กล่าวมาคือสมาร์ทโฟนระดับ high-end ที่เปิดตัวในช่วงต้นปี 2013 และแน่นอนว่าต่อจากนี้จะเป็นคิวของ Samsung Galaxy S IV และค่ายอื่นๆ อีกในไม่ช้า วันที่ 14 มีนาคม เราจะได้รู้กันว่า Samsung จะงัดไม้เด็ดอะไรมาต่อกรกับเจ้าอื่น!

Samsung Galaxy S4 Active

Samsung Galaxy S4 Active

samsung Galaxy S4 Active

ขนาด: 139.7 × 71.3 × 9.1 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 153 กรัม

samsung Galaxy S4 Active

samsung Galaxy S4 Active

ข้อมูลทั่วไป Samsung Galaxy S4 Active – ซัมซุง

    • เปิดตัวครั้งแรก 17 มิถุนายน 2013 (สยามโฟนฯ)
    • ออกวางจำหน่าย ไตรมาสสาม ปี 2013 (สิงหาคม 56)
    • ราคามือถือ Samsung Galaxy S4 Active
      – ราคาเปิดตัว – บาท (ยังไม่กำหนดราคา)
ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
    – GSM 850/900/1800/1900 MHz
    – UMTS 850/900/1900/2100 MHz
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
    – 2G : EDGE/GPRS
    – 4G
ข้อมูลตัวเครื่อง
  • จอแสดงผล TFT-LCD 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch
    – กว้าง 5.0 นิ้ว
    – ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (443 ppi)
    – ระบบป้องกัน – ฝุ่นละออง (Resistance to dust)
  • ระบบเซ็นเซอร์ (Sensor)
    – ระบบหมุนภาพอัตโนมัติ (Accelerometer)
    – ตรวจจับแสงปรับความสว่างอัตโนมัติ (Ambient light)
    – ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity)
    – ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ (Gyroscope)
  • คุณสมบัติการกันน้ำ (Waterproof)
    – กันน้ำได้ชั่วคราว

samsung Galaxy S4 Active

 ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)
  • ระบบปฏิบัติการ: Android 4.2.2 (Jelly Bean)
  • หน่วยประมวลผล : Quad Core
    – ความเร็ว : 1.9 GHz
  • หน่วยความจำ 16 GB (ตัวเครื่อง)
    – RAM 2GB
  • การ์ดหน่วยความจำ microSD – สูงสุด 64 GB
ระบบเชื่อมต่อ
  • WiFi
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับ NFC (Near Field Communication)
  • Micro USB 2.0
ใช้งานอินเตอร์เน็ต
  • รองรับบราวเซอร์ Android HTML Webkit, Google Chrome
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
  • ข้อความแชท Instant Messaging, Google Talk, ChatON
  • สนับสนุน Gmail, Google Search

samsung Galaxy S4 Active

ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
    – พร้อมแฟลช LED (Digital camera)
    – โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง
    – โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า (Panorama)
  • กล้องหน้า (Front Camera)
    – ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
  • บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
  • เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง
    – รูปแบบไฟล์ : MPEG-4, WMV, H.264, H.263, DivX
    – รองรับวีดีโอจาก YouTube™
  • เครื่องเล่นเพลง (Music Player)
    – รูปแบบไฟล์ : AMR-NB, AAC, AAC+, eAAC+, MP3, WAV, WMA, MIDI, OGG, IMY, FLAC
การใช้งานของแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มาตรฐาน 2,600 mAh (Standard Battery)

HTC One X

HTC One X

htc One X

htc One X

htc One X

ข้อมูลทั่วไป HTC One X – เอชทีซี One X

– Amazing camera. Authentic sound. –
    • เปิดตัวครั้งแรก 26 กุมภาพันธ์ 2012 (สยามโฟนฯ)
    • ออกวางจำหน่าย ไตรมาสสอง ปี 2012 (เมษายน 55)
    • ราคามือถือ HTC One X
      – ราคาเปิดตัว 21,900 บาท (เมษายน 55)
      – ราคาล่าสุด 17,900 บาท (ปรับปรุง 7 เดือนที่แล้ว ราคาปรับลดลง 2,000)
ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ *ตรวจสอบรุ่นที่รองรับเครือข่าย 3G กับผู้ขายอีกครั้ง
    – GSM 850/900/1800/1900 MHz
    – UMTS 850/900/1900/2100 MHz
    – WCDMA 850/900/1900/2100 MHz
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
    – 2G : EDGE/GPRS
    – 3G :
  • รองรับ Micro Sim
 ข้อมูลตัวเครื่อง
  • จอแสดงผล HD Super LCD2 ขาว/ดำ
    – กว้าง 4.7 นิ้ว
    – ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล
    – รูปแบบการใช้งานหน้าจอหลัก HTC Sense™
  • ระบบเซ็นเซอร์ (Sensor)
    – ตรวจจับความเคลื่อนไหวของตัวเครื่อง (Accelerometer)
    – ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity)
    – ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ (Gyroscope)

htc One X
ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)

  • ระบบปฏิบัติการ: Android 4.0 Ice Cream Sandwich
  • หน่วยประมวลผล : Quad Core
    – ความเร็ว : 1.5 GHz
  • หน่วยความจำ 32 GB (ตัวเครื่อง)
    – RAM 1GB
ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบดาวเทียมบอกพิกัด: A-GPS
    – รองรับแอพพลิเคชั่น Geotagging, Google Maps™
    – โปรแกรมเข็มทิศในตัว (Digital Compass)
  • WiFi 802.11b/g/n/a
    – เชื่อมโยงเครือข่ายกับความบันเทิงในที่พักอาศัย (DLNA)
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับ NFC (Near Field Communication)
  • Micro USB 2.0
  • HDMI (ต่อสัญญาณเข้าเครื่องโทรทัศน์)
  • เชื่อมต่อแบบ MHL (Mobile High-Definition Link)
  • ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
 ใช้งานอินเตอร์เน็ต
  • รองรับภาษา HTML, HTML5
  • โซเชียลเน็ตเวิร์คแอพฯ Facebook, Twitter
  • รองรับ Adobe® Flash® รับชม Flash Video ผ่านบราวเซอร์
  • รองรับ RSS Reader
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
  • SMS, MMS
  • อีเมล Email (Push Mail)
  • ข้อความแชท Instant Messaging, Google Talk
  • สนับสนุน Gmail, Google Search
ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
    – พร้อมแฟลช LED (Digital camera)
    – ขนาดภาพสูงสุด 3264 x 2448 พิกเซล (Image Size)
    – ปรับภาพอัตโนมัติ (Auto Focus)
    – โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง
    – แนบตำแหน่งบนแผนที่ไปกับภาพถ่าย (Geo-Tagging)
    – สมดุลแสงสีขาว(Automatic, Sunny, Cloudy, Incandescent, Fluorescent)
    – โหมดฉาก (Close – up, บุคคล, ทิวทัศน์, กีฬา, ภาพบุคคลในเวลากลางคืน, เวลากลางคืน)
    – ค้นหาใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)
    – ตรวจจับรอยยิ้ม (Smile Detection)
    – ตั้งเวลาถ่ายภาพอัตโนมัติ (Self-Timer)
  • กล้องหน้า (Front Camera)
    – ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล
    – รองรับ Video Call สนทนาแบบเห็นภาพ
  • บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
    – ความละเอียด HD 1920 x 1080 พิกเซล
    – รูปแบบไฟล์วีดีโอ : MPEG-4
  • เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง
    – รูปแบบไฟล์ : MPEG-4, 3GP, 3GPP, WMV
    – รองรับวีดีโอจาก YouTube™
  • เครื่องเล่นเพลง (Music Player)
    – รูปแบบไฟล์ : AMR, AAC, MIDI, OGG
แอพพลิเคชั่นมาตรฐาน
  • โปรแกรมอ่านเอกสาร (Quick Office editors)
  • โปรแกรมอ่านไฟล์ PDF
การโทร และ ฟังก์ชั่นพื้นฐาน
  • แฮนด์ฟรีในตัว (Build-In Handsfree)
  • ริงโทน Polyphonic, MP3
    – ระบบสั่น (Vibration in Phone)
  • ใช้งานเครื่องโดยไม่เปิดสัญญาณโทรศัพท์ (Flight Mode)
 การใช้งานของแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มาตรฐาน Li-Pol 1,800 mAh (Standard Battery)
  • เปิดรอรับสาย GSM 525 นาที (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง GSM 1020 นาที (Talk Time)
  • เปิดรอรับสาย 3G 545 นาที (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง 3G 800 นาที (Talk Time)

แท็บเล็ตคืออะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

แท็บเล็ตคืออะไร ?

แท็บเล็ต ในความหมายด้านไอที คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ มีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป พกพาได้สะดวกเนื่องจากมีน้ำหนักเบา สามารถใช้งานการสัมผัสผ่านปลายนิ้วได้โดยตรง มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกใช้ สามารถใช้งานด้านความบันเทิงได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค, ท่องอินเทอร์เน็ต, ถ่ายรูป, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม, วาดรูป หรือแม้กระทั่งใช้ทำงานรับส่ง-อีเมล์หรือจัดการเอกสารออฟฟิต ข้อดีของแท็บเล็ตคือมีหน้าจอที่กว้าง ทำให้มีพื้นที่การใช้งานเยอะกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป และยังมีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวกกว่าโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ สามารถใช้จดบันทึกหรือใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้เป็นอย่างดี

แท็บเล็ตถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ แต่กว่าจะกลายมาเป็นแท็บเล็ตเช่นทุกวันนี้ก็กินเวลาหลายสิบปี ผ่านช่วงที่เรียกว่า “บททดสอบ”มาหลายครั้ง จนในที่สุดก็กลายมาเป็นสินค้าไอทีที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคไม่แพ้สมาร์ทโฟน และยังมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ

ประวัติความเป็นมาของแท็บเล็ต และการหยิบฉวยไอเดียของ Steve Jobs จนกลายเป็นผู้พลิกเกม

การมาของแท็บเล็ตได้ลบล้างส่วนแบ่งของตลาดเน็ตบุ๊ค หรือเครื่องโน๊ตบุ๊คขนาดย่อส่วนลงอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็กระทบถึงตลาดพีซีที่มียอดขายลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย Apple iPad ได้รับการยอมรับให้เป็นอุปกรณ์แท็บเล็ตที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด แต่ในความจริงแล้ว แท็บเล็ตไม่ได้เกิดจากไอเดียของ Steve Jobs แต่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ก่อนที่ Apple iPad จะเปิดตัวครั้งแรกในปี 2010

Linus Write-Top (1987)

เป็นหนึ่งในแท็บเล็ตรุ่นแรกๆ ที่สามารถรู้จำลายมือโดยการใช้ปากกาสไตลัสเขียนลงไปบนหน้าจอสีเขียว แต่ยังเป็นหน้าจอแบบเก่า (resistive screen) ที่ใช้แรงดันไฟฟ้าตรวจสอบตำแหน่งที่สัมผัส นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติรูปแบบการกดคีย์บอร์ดแป้นพิมพ์แบบเดิมๆ

GRiDPad (1989)

สองปีต่อมาหลังจากนั้น Jeff Hawkins ผู้ก่อตั้งบริษัท Palm Computing ก็ได้สร้างอุปกรณ์ที่มีชื่อเรียกว่า “GRiDPad” ซึ่งรันบนระบบปฏิบัติการ MS-DOS และถูกนำไปใช้ในทางการทหาร แต่อุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากผู้บริโภคมองว่ามันหนัก และมีราคาแพงเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น

Apple MessagePad (1993)

MessagePad ถือเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของ Apple ซึ่งเล็งเห็นช่องทางในธุรกิจดังกล่าวและเกิดความพยายามที่จะสร้างอุปกรณ์ประเภทใหม่ที่เรียกว่า “personal digital assistant” หรือ PDA ที่สามารถใช้ดูปฏิทิน กำหนดการนัดหมาย และรายการที่ต้องทำ โดยในขณะนั้นยังมีแอพพลิเคชั่นไม่มากนัก จุดเด่นของอุปกรณ์ประเภทนี้คือมีปากกาสไตลัสที่เขียนลงไปบนหน้าจอและสามารถรู้จำลายมือได้ในระดับหนึ่ง

PalmPilot (1997)

Jeff Hawkins กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ “PalmPilot” ครั้งแรกของเครื่อง PDA ราคาไม่แพง เป็นอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสที่ได้รับความนิยมมากในเวลานั้น อุปกรณ์ชิ้นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องการสินค้าชนิดใหม่ที่จะมาเติมเต็มช่องว่างระหว่างโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์แลปท็อป แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานราคาที่ไม่สูงนักและสามารถใช้งานง่าย

Microsoft Tablet PC (2000)

Bill Gates เจ้าพ่อไมโครซอฟต์เองก็เล็งเห็นความสำคัญของสินค้าแท็บเล็ต และได้เปิดตัวแท็บเล็ตต้นแบบในปี 2000 เขาทำนายว่าแท็บเล็ตจะเข้ามาเขย่าวงการไอทีภายใน 5 ปีข้างหน้า แต่การเขย่าวงการของแท็บเล็ต (Apple iPad) เกิดขึ้นจริงในปี 2010 หรืออีก 10 ปีต่อมา

Windows XP tablet

ในปี 2002 Microsoft กังวลในเรื่องส่วนแบ่งตลาดแท็บเล็ต จึงเกิดการผลักดันให้มีการเปิดตัวแท็บเล็ตที่ผลิตโดยบริษัท Fujitsu และบริษัท Compaq โดยทั้งสองรุ่นต่างรันบนระบบปฏิบัติการ Windows XP ของ Microsoft

Motion Computing LS800 tablet (2005)

ในช่วงปี 2005-2006 มีแท็บเล็ตจากผู้ผลิตหลายค่ายถูกส่งลงไปทำตลาด เช่นแท็บเล็ตรุ่น LS800 จาก Motion Computing และแท็บเล็ต Lenovo ThinkPad แต่สินค้าเหล่านี้ก็มีราคาแพงและไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่มักจะถูกนำไปใช้ในโรงงานใหญ่ๆ หรือถูกใช้ในการทหารเสียมากกว่า ซึ่ง LS800 เป็นแท็บเล็ตที่เล็กที่สุดในเวลานั้นด้วยขนาดหน้าจอ 8.4 นิ้ว ราคาต่อเครื่องตกประมาณ 68,000 บาท

Apple iPad (2010)

และแล้วในที่สุดก็มาถึงยุคของ Steve Jobs และการปฏิวัติวงการแท็บเล็ตด้วย AppleiPad รุ่นแรกเปิดตัวมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสที่ลื่นไหล ดีไซน์สวยงาม เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน แต่ก็มีเสียงค้านมากมายปรามาสว่าสินค้าของ Apple จะล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันเวลาก็ได้ลบล้างคำสบประมาทดังกล่าวไปอย่างสิ้นเชิง

Samsung Galaxy Tab (2010)

ภายในปีเดียวกันนั่นเอง Samsung Galaxy Tab แท็บเล็ตแอนดรอยด์ก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ไม่ได้รับความนิยมในฉับพลันทันที เนื่องจากราคาเปิดตัวในตอนนั้นที่ค่อนข้างสูง (ประมาณ 18,700 บาท) แต่ในที่สุดราคาก็ปรับลดลง

และด้วยความที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นระบบเปิด ทำให้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีและเกิดการแข่งขันในตลาดด้วยช่วงราคาที่หลากหลายตั้งแต่รุ่นท็อปยันรุ่นราคาประหยัด

Amazon Kindle Fire (2011)

ที่อเมริกา ยุโรป และประเทศแถบเอเชียบางประเทศเช่นญี่ปุ่น Amazon Kindle Fire ถือเป็นแท็บเล็ตที่จุดประกายไฟให้เห็นถึงความพยายามในการส่งแท็บเล็ตราคาไม่แพงที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (6,200 บาท) และเป็นการชี้ให้เห็นว่าแท็บเล็ตคุณภาพดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง

Sony S2 / Sony Tablet P (2011)

ในปี 2011 ผู้ผลิตแท็บเล็ตบางค่ายก็เริ่มทดลองทำอะไรแปลกใหม่ และหนึ่งในนั้นคือSony Tablet P แท็บเล็ตเครื่องแรกที่มาพร้อมดีไซน์ฝาพับและหน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว

Microsoft Surface (2012)

หลังจากที่ห่างหายไปจากวงการแท็บเล็ตหลายปี Microsoft ก็วกกลับเข้ามาในเกมอีกครั้ง เนื่องจากการตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่ถดถอยลงของตลาดพีซีและอนาคตของตลาดแท็บเล็ตที่จะเติบโตขึ้นในภายภาคหน้า โดยแท็บเล็ตของ Microsoft รุ่นแรกที่ออกสู่ตลาดคือ “Surface

ASUS Padfone 2 (2012)

ASUS เปิดตัว Padfone 2 แท็บเล็ตที่มาพร้อมกับความสามารถในการรวมร่างกับสมาร์ทโฟน

แนวโน้มของแท็บเล็ตในปัจจุบัน-อนาคต

Cisco มีความเชื่อว่า ในปี 2017 ผู้คนจะมีอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ไม่น้อยกว่าคนละ 5 เครื่อง เนื่องจากแนวทางของแท็บเล็ตยังคงแข็งแกร่งและตอบโจทย์ผู้บริโภค เชื่อว่าในหน้าประวัติศาสตร์ของอุปกรณ์ไอที แท็บเล็ตจะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดไม่แพ้คอมพิวเตอร์เลยทีเดียว