iPhone 5 รองรับการใช้งาน 4G LTE แล้ววันนี้ บนเครือข่าย true move H

เทคโนโลยี 4G LTE (Long Term Evolution) เริ่มเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารมากยึ่งขึ้น โดยเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ความเร็วสูงสุดในการดาว์นโหลด 100 Mbps ซึ่งจะทำให้ดาวน์โหลดเร็วกว่า 3G+ ถึง 3 เท่า อัพโหลดเร็วกว่า 3G+ ถึง 5 เท่า และสำหรับในประเทศไทยก็มีผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง true move H ได้เดินหน้าเปิดให้บริการ 4G LTE เป็นรายแรก พร้อมรองรับการใช้งานบน iPhone 5 ได้แล้ววันนี้

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมแพ็กเกจ 4G LTE ที่หลากหลาย ในราคาสุดคุ้ม โดยสามารถเลือกได้แบบอิสระตามการใช้งานของคุณ ทั้งสำหรับคนชอบเสิร์ซ ชอบเน็ต และคนชอบโทร ชอบเน็ต

แพ็กเกจสำหรับคนชอบเสิร์ซ ชอบเน็ต

แพ็กเกจสำหรับคนชอบโทร ชอบเน็ต

พิเศษ สมัครแพ็กเกจเสริม 4G ตั้งแต่ 1 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2556 รับสิทธิฟรี ค่าบริการเดือนละ 99 บาท จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 สำหรับผู้ใช้บริการแพ็กเกจ iNet 399, iNet 499, iNet 599, iNet 699, iNet 799 และ iNet 899

สำหรับผู้ใช้ iPhone 5 สามารถใช้งาน 4G LTE ได้โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. อัพเกรดซิมการ์ดเป็น U Sim เพื่อรองรับการใช้งาน 4G LTE ได้ที่ทรูช้อป
  2. อัพเดทเครือข่ายบนสมาร์ทโฟน เพื่อใช้งาน 4G LTE โดยต้องเป็น iPhone 5  ที่ใช้ iOS เวอร์ชั่น 6.1 ขึ้นไป และทำการอัพเดทเครือข่ายได้ดังนี้

วิธีตรวจสอบการตั้งค่า Carrier Setting

แนะนำสมาร์ทโฟนจอใหญ่รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานในมุมมองที่กว้างขึ้น

ในปัจจุบันแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมีให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลาย บางครั้งการใช้งานแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนสะดวกกว่าบนแท็บเล็ต แต่บางครั้งการใช้งานแอพพลิเคชั่นบนแท็บเล็ตก็สะดวกกว่าบนสมาร์ทโฟน จากช่องว่างตรงนี้เองทำให้ผู้ผลิตมือถือแบรนด์ต่างๆ เริ่มหันมาผลิตอุปกรณ์มือถือที่มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมกว่าเดิม โดยอุปกรณ์ประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นสมาร์ทโฟนกึ่งแท็บเล็ตและถูกเรียกว่า “แฟบเล็ต” ซึ่งจุดที่สังเกตได้คือมีหน้าจอแสดงผลตั้งแต่ 5.5 ถึง 7 นิ้ว ทำให้เพิ่มพื้นที่ในการใช้งานแอพพลิเคชั่นได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น (ดูความหมายเพิ่มเติมของแฟบเล็ตได้ ที่นี่)

แฟบเล็ตได้รับกระแสตอบรับที่ดีในตลาดประเทศไทยและเป็นสินค้าตัวหนี่งที่กำลังมาแรง โดยขณะนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 รุ่นที่น่าสนใจ ได้แก่ Sony Xperia Z Ultra, LG Optimus G Pro, Lenovo K900, Samsung Galaxy Mega 6.3 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. SONY Xperia Z Ultra

SONY Xperia Z Ultra มีความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์การออกแบบที่สวยงาม เพรียวบาง พร้อมคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่น และมีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล พร้อมเทคโนโลยี TRILUMINOS display และสามารถเขียนบนหน้าจอด้วยปากกา Stylus หรือดินสอคาร์บอนได้ทันที ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 800 (quad-core) ความเร็ว 2.2GHz, RAM 2GB, หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 330, กล้องด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, กล้องด้านหน้า 2 ล้านพิกเซล, หน่วยความจำบนตัวเครื่องขนาด 16GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก microSD ได้สูงสุด 64GB, แบตเตอรี่ความจุ 3000mAh และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, 3G, 2G, Bluetooth 4.0, NFC, GPS (A-GPS), รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean สนนราคาอยู่ที่ 21,990 บาท (ดูรายละเอียดสเปกเพิ่มเติมได้ที่นี่)

2. LG Optimus G Pro

LG Optimus G Pro มาพร้อมหน้าจอแสดงผล IPS ขนาดกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล, ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 600 (quad-core) ความเร็ว 1.7GHz, RAM 2GB, หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 320 โดย LG Optimus G Pro มาพร้อมฟีเจอร์ที่โดดเด่นด้วยระบบการแจ้งเตือนด้วยไฟ LED บนปุ่ม Home, มีปุ่มเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นได้อย่างรวดเร็ว (Quick Button) รวมถึงมาพร้อมกล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED และกล้องด้านหน้าความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล เพื่อรองรับการถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอได้พร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังอีกด้วย, หน่วยความจำบนตัวเครื่องขนาด 16GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก microSD ได้สูงสุด 64GB, แบตเตอรี่ความจุ 3140mAh และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, 3G, 2G, Bluetooth 4.0, NFC, GPS (A-GPS), DLNA, รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1.2 Jelly Bean สนนราคาอยู่ที่ 19,900 บาท (ดูรายละเอียดสเปกเพิ่มเติมได้ที่นี่)

3. Lenovo K900

Lenovo K900 มีดีไซน์เรียบหรูน่าสัมผัส ด้วยขนาดที่เพรียวบางเพียง 6.9 มิลลิเมตร และเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงอย่างสแตนเลสอัลลอยและโพลีคาร์บอเนตในการผลิตตัวเครื่อง ทำให้มีน้ำหนักเบาและคงทนแข็งแรง มีหน้าจอแสงผล IPS ขนาดกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พร้อมเทคโนโลยีกระจก Corning Gorilla Glass 2 เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Intel Atom Z2580 (Dual Core) ความเร็ว 2.0 GHz, RAM 2GB, หน่วยประมวลผลกราฟิก PowerVR SGX 544MP2, กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส พร้อมแฟลช Dual LED มีเซ็นเซอร์คุณภาพสูงอย่าง Sony Exmor BSI เพื่อให้คุณภาพของภาพถ่ายคมชัดสมจริงทุกการเคลื่อนไหว และกล้องด้านหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, หน่วยความจำบนตัวเครื่องขนาด 16GB, แบตเตอรี่ความจุ 2500mAh และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, 3G, 2G, Bluetooth 3.0, GPS (A-GPS), รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean สนนราคาอยู่ที่ 14,990 บาท (ดูรายละเอียดสเปกเพิ่มเติมได้ที่นี่)

4. Samsung Galaxy Mega 6.3

Samsung Galaxy Mega 6.3 ด้วยการออกแบบยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของทางSamsung ไว้ได้อย่างดี ซึ่งผสานด้วยความหรูหราและสวยงามได้อย่างลงตัว มาพร้อมหน้าจอแสดงผล Super Clear LCD ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล, ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 (dual-core) ความเร็ว 1.7GHz, RAM 1.5GB, หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 305, กล้องด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส พร้อมแฟลช LED และกล้องด้านหน้าความละเอียด 1.9 ล้านพิกเซล, หน่วยความจำบนตัวเครื่องขนาด 16GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก microSD ได้สูงสุด 64GB, แบตเตอรี่ความจุ 3200mAh และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, 3G, 2G, Bluetooth 4.0, GPS (A-GPS), DLNA, KIES, KIES Air รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2 Jelly Bean สนนราคาอยู่ที่ 14,900 บาท

SONY Xperia ZR

SONY Xperia ZR

sony Xperia ZR
ขนาด: 131.3 × 67.3 × 10.5 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 138 กรัม

sony Xperia ZR

sony Xperia ZR

SONY

ข้อมูลทั่วไป SONY Xperia ZR – โซนี่ Xperia ZR

    • เปิดตัวครั้งแรก 13 พฤษภาคม 2013 (สยามโฟนฯ)
    • ออกวางจำหน่าย ไตรมาสสอง ปี 2013 (พฤษภาคม 56)
    • ราคามือถือ SONY Xperia ZR
      – ราคาเปิดตัว 16,490 บาท (พฤษภาคม 56)
      – ราคาล่าสุด 16,450 บาท (ปรับปรุง เมื่อเดือนก่อน ราคาปรับลดลง 40)
ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ *ตรวจสอบรุ่นที่รองรับเครือข่าย 3G กับผู้ขายอีกครั้ง
    – GSM 850/900/1800/1900 MHz
    – UMTS 850/900/2100 MHz
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
    – 2G : EDGE/GPRS
    – 3G : HSPA+
  • รองรับ Micro Sim
ข้อมูลตัวเครื่อง
  • จอแสดงผล 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch
    – กว้าง 4.55 นิ้ว
    – ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล
    – Capacitive
    – Reality display with Mobile BRAVIA® Engine
    – ระบบป้องกัน – ฝุ่นละออง (Resistance to dust)
    – ป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอ (Scratch-resistant)
  • คุณสมบัติการกันน้ำ (Waterproof)
    – กันน้ำได้ชั่วคราว
    – กันน้ำที่ความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร

sony Xperia ZR
ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)

  • ระบบปฏิบัติการ: Android 4.1 (Jelly Bean)
  • หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon™ S4 Pro Quad Core
    – ความเร็ว : 1.5 GHz
  • หน่วยความจำ 8 GB (ตัวเครื่อง)
    – RAM 2GB
  • การ์ดหน่วยความจำ microSD – สูงสุด 32 GB
ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบดาวเทียมบอกพิกัด: A-GPS
    – รองรับแอพพลิเคชั่น Google Maps™
    – Latitude แสดงตำแหน่งละติจูด
    – Street View มุมมองแผนที่สามมิติสมจริง
  • WiFi
    – เชื่อมโยงเครือข่ายกับความบันเทิงในที่พักอาศัย (DLNA)
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับ NFC (Near Field Communication)
  • Micro USB 2.0
  • รองรับถ่ายโอนข้อมูลผ่าน ActiveSync®
  • ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ใช้งานอินเตอร์เน็ต
  • รองรับบราวเซอร์ Google Chrome
  • โซเชียลเน็ตเวิร์คแอพฯ Facebook, Twitter
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
  • SMS, MMS
  • อีเมล Email (Push Mail)
  • ข้อความแชท Instant Messaging
  • สนับสนุน Gmail, Google Search

sony Xperia ZR
ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย

  • กล้องดิจิตอล 13 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
    – พร้อมแฟลช LED (Digital camera)
    – ซูมดิจิตอล 16 เท่า (16x Digital Zoom)
    – ปรับภาพอัตโนมัติ (Auto Focus)
    – ค้นหาใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)
  • กล้องหน้า (Front Camera)
    – ความละเอียด VGA – 640 x 480
  • บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
    – ความละเอียด HD 1920 x 1080 พิกเซล
    – รูปแบบไฟล์วีดีโอ : MPEG-4, 3GP
  • เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง
    – รูปแบบไฟล์ : MPEG-4, 3GPP, XviD, AVI, MOV, MKV
    – รองรับวีดีโอจาก YouTube™
  • เครื่องเล่นเพลง (Music Player)
    – รูปแบบไฟล์ : MP3, MP4, WAV, OGG
  • วิทยุ FM Radio – RDS
  • รองรับไฟล์รูปภาพ : JPG, JPEG, BMP, GIF
การใช้งานของแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มาตรฐาน 2,300 mAh (Standard Battery)
  • เปิดรอรับสาย GSM 470 ชั่วโมง (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง GSM 11 ชั่วโมง (Talk Time)
  • เปิดรอรับสาย 3G 520 ชั่วโมง (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง 3G 13 ชั่วโมง (Talk Time)
  • ชมวีดีโอนานต่อเนื่อง 8.5 ชั่วโมง (Video playback time)
  • ฟังเพลงต่อเนื่อง 45 ชั่วโมง (Music playback time)

SONY Xperia M

SONY Xperia M

sony Xperia M

ขนาด: 124 × 62 × 9.3 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 115 กรัม

sony Xperia M

sony Xperia M

SONY

ข้อมูลทั่วไป SONY Xperia M – โซนี่ Xperia M

    • เปิดตัวครั้งแรก 10 มิถุนายน 2013 (สยามโฟนฯ)
    • ออกวางจำหน่าย ไตรมาสสาม ปี 2013 (กรกฏาคม 56)
    • ราคามือถือ SONY Xperia M
      – ราคาเปิดตัว – บาท (ยังไม่กำหนดราคา)
ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ *ตรวจสอบรุ่นที่รองรับเครือข่าย 3G กับผู้ขายอีกครั้ง
    – GSM 850/900/1800/1900 MHz
    – UMTS 900/2100 MHz
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
    – 2G : EDGE/GPRS
    – 3G :
ข้อมูลตัวเครื่อง
  • จอแสดงผล TFT-LCD 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch
    – กว้าง 4 นิ้ว
    – ความละเอียด 854 x 480 พิกเซล
    – ป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอ (Scratch-resistant)

sony Xperia M
 ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)

  • ระบบปฏิบัติการ: Android 4.1 (Jelly Bean)
  • หน่วยประมวลผล : Qualcomm Dual Core
    – ความเร็ว : 1 GHz
  • หน่วยความจำ 4 GB (ตัวเครื่อง)
    – RAM 1GB
  • การ์ดหน่วยความจำ microSD – สูงสุด 32 GB
 ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบดาวเทียมบอกพิกัด: A-GPS
    – รองรับแอพพลิเคชั่น Google Maps™
    – Latitude แสดงตำแหน่งละติจูด
  • WiFi
    – เชื่อมโยงเครือข่ายกับความบันเทิงในที่พักอาศัย (DLNA)
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับ NFC (Near Field Communication)
  • Micro USB 2.0
  • รองรับถ่ายโอนข้อมูลผ่าน ActiveSync®
  • ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
 ใช้งานอินเตอร์เน็ต
  • รองรับบราวเซอร์ Google Chrome
  • โซเชียลเน็ตเวิร์คแอพฯ Facebook, Twitter
 รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
  • SMS, MMS
  • อีเมล Email (Push Mail)
  • ข้อความแชท Instant Messaging
  • สนับสนุน Gmail, Google Search
ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • กล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
    – พร้อมแฟลช LED (Digital camera)
    – ซูมดิจิตอล 4 เท่า (4x Digital Zoom)
    – ปรับภาพอัตโนมัติ (Auto Focus)
    – Touch focus (Touch Focus)
    – แนบตำแหน่งบนแผนที่ไปกับภาพถ่าย (Geo-Tagging)
    – ค้นหาใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)
    – โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า (Panorama)
  • กล้องหน้า (Front Camera)
    – รองรับ Video Call สนทนาแบบเห็นภาพ
  • บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
    – ความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล
  • เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง
    – รองรับวีดีโอจาก YouTube™
  • เครื่องเล่นเพลง (Music Player)
    – รูปแบบไฟล์ : MP3, MP4, WAV, OGG
  • วิทยุ FM Radio – RDS
การใช้งานของแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มาตรฐาน 1,750 mAh (Standard Battery)
  • เปิดรอรับสาย GSM 552 ชั่วโมง (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง GSM 10 ชั่วโมง (Talk Time)
  • ชมวีดีโอนานต่อเนื่อง 9 ชั่วโมง (Video playback time)
  • ฟังเพลงต่อเนื่อง 39 ชั่วโมง (Music playback time)

SONY Xperia Z Ultra

 

SONY

ข้อมูลทั่วไป SONY Xperia Z Ultra – โซนี่ Xperia Z Ultra

    • เปิดตัวครั้งแรก 25 มิถุนายน 2013 (สยามโฟนฯ)
    • ออกวางจำหน่าย ไตรมาสสาม ปี 2013 (กรกฏาคม 56)
    • ราคามือถือ SONY Xperia Z Ultra
      – ราคาเปิดตัว 21,990 บาท (กรกฏาคม 56)
      – ราคาล่าสุด 21,990 บาท (ปรับปรุง 7 วันที่แล้ว )
ข้อมูลเครือข่าย
  • เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ *ตรวจสอบรุ่นที่รองรับเครือข่าย 3G กับผู้ขายอีกครั้ง
    – GSM 850/900/1800/1900 MHz
    – UMTS 850/900/1900/2100 MHz
  • เทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล
    – 2G : EDGE/GPRS
    – 3G : HSPA+
ข้อมูลตัวเครื่อง
  • จอแสดงผล TFT-LCD 16 ล้านสี ระบบสัมผัส Multi-Touch
    – กว้าง 6.44 นิ้ว
    – ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
    – Capacitive
    – ปากกา Stylus สำหรับวาด, เขียน, ระบาย และรีทัชรูปภาพ
    – ป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอ (Scratch-resistant)
  • คุณสมบัติการกันน้ำ (Waterproof)
    – กันน้ำได้ชั่วคราว

sony Xperia Z Ultra

 ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)
  • ระบบปฏิบัติการ: Android 4.2 (Jelly Bean)
  • หน่วยประมวลผล : Qualcomm MSM8974 Snapdragon™ 800 Quad Core
    – ความเร็ว : 2.2 GHz
  • หน่วยความจำ 16 GB (ตัวเครื่อง)
    – RAM 2GB
  • การ์ดหน่วยความจำ microSD – สูงสุด 64 GB
 ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบดาวเทียมบอกพิกัด: A-GPS
    – รองรับแอพพลิเคชั่น Google Maps™
    – Latitude แสดงตำแหน่งละติจูด
    – Street View มุมมองแผนที่สามมิติสมจริง
  • WiFi
    – เชื่อมโยงเครือข่ายกับความบันเทิงในที่พักอาศัย (DLNA)
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
  • Bluetooth 4.0
  • รองรับ NFC (Near Field Communication)
  • Micro USB 2.0
  • รองรับถ่ายโอนข้อมูลผ่าน ActiveSync®
  • เชื่อมต่อแบบ MHL (Mobile High-Definition Link)
  • ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
 ใช้งานอินเตอร์เน็ต
  • รองรับบราวเซอร์ Android HTML Webkit, Google Chrome
  • โซเชียลเน็ตเวิร์คแอพฯ Facebook, Twitter
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
  • SMS, MMS
  • อีเมล Email (Push Mail)
  • ข้อความแชท Instant Messaging
  • สนับสนุน Gmail, Google Search
ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล (Digital Camera)
    – ซูมดิจิตอล 16 เท่า (16x Digital Zoom)
    – ปรับภาพอัตโนมัติ (Auto Focus)
    – Touch focus (Touch Focus)
    – โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง
    – แนบตำแหน่งบนแผนที่ไปกับภาพถ่าย (Geo-Tagging)
    – ค้นหาใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection)
    – ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Shake Reduction)
    – โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า (Panorama)
  • กล้องหน้า (Front Camera)
    – ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
    – รองรับ Video Call สนทนาแบบเห็นภาพ
  • บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (Video Recording)
    – ความละเอียด HD 1920 x 1080 พิกเซล
  • เครื่องเล่นวีดีโอ (Video Player) และ วีดีโอสตรีมมิ่ง
    – รองรับวีดีโอจาก YouTube™
  • เครื่องเล่นเพลง (Music Player)
  • วิทยุ FM Radio – RDS
 การใช้งานของแบตเตอรี่
  • แบตเตอรี่มาตรฐาน 3,000 mAh (Standard Battery)
  • เปิดรอรับสาย GSM 790 ชั่วโมง (Standby Time)
    – สนทนาต่อเนื่อง GSM 14 ชั่วโมง (Talk Time)
  • ชมวีดีโอนานต่อเนื่อง 7.5 ชั่วโมง (Video playback time)
  • ฟังเพลงต่อเนื่อง 120 ชั่วโมง (Music playback time)

11 วิธีช่วยให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ประหยัดการใช้ข้อมูลเครือข่าย 3G

ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่เป็นมือใหม่มักประสบกับปัญหาการใช้งานข้อมูลเครือข่าย 3G มากเกินกว่าแพคเกจที่สมัครใช้บริการ แม้หลายคนจะแย้งว่าไม่ค่อยได้เปิดใช้งานอะไร แต่ทำไมตัวเลขการใช้งานข้อมูลเครือข่ายถึงสิ้นเปลือง ถ้าหากคุณกำลังมองหาวิธีประหยัดการใช้งานข้อมูลเครือข่าย ขอแนะนำ 11 วิธีการช่วยให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ใช้ข้อมูลเครือข่ายน้อยลงกว่าที่เคย

การจัดการแอพพลิเคชั่น

บางคนอาจจะไม่ทราบว่าเมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นใน Google Play มาใช้งานแล้ว ไม่ได้จบสิ้นเพียงแค่การเปิดใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีพวกอัพเดทหรือโฆษณาที่คอยจ้องจะดาวน์โหลดข้อมูลมายังเครื่องของคุณด้วย

1. อัพเดทแอพพลิเคชั่นผ่านทาง Wi-Fi เท่านั้น
เปิด Google Play และเลือกเมนูการตั้งค่า > อัพเดทอัตโนมัติ และเลือกอัพเดทอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi เท่านั้น หรือจะเลือกอัพเดทด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอัพเดทต่างๆ จะไม่มารบกวนการใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตของคุณอีกต่อไป

2. การตั้งค่าภายในแอพพลิเคชั่น

บางแอพพลิเคชั่นที่คุณใช้งานอยู่ อาจจะมีการเรียกใช้ฟังก์ชั่นการสำรองข้อมูลภาพถ่ายหรือวิดีโอไปเก็บบนเซิร์ฟเวอร์โดยที่คุณไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น Google+ เมื่อเริ่มต้นใช้งานจะถามผู้ใช้ว่าต้องการสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์เลยหรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบเมนูการตั้งค่าในแต่ละแอพฯ อีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ

3. จำกัดการใช้งานข้อมูลแอพที่รันอยู่เบื้องหลัง

แอพพลิเคชั่นบางอย่างอาจจะมีการดาวน์โหลดข้อมูลแม้ขณะที่คุณไม่ได้เปิดใช้งานก็ตาม วิธีตรวจสอบง่ายๆ สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.0 (Ice Cream Sandwich) ขึ้นไป สามารถเข้าไปดูที่ การตั้งค่า > การใช้งานข้อมูลเครือข่าย (Data Usage) และเลื่อนลงมาเพื่อดูรายการแอพพลิเคชั่นและข้อมูลสถิติการใช้งานเครือข่าย จากนั้นแตะแอพฯ ที่มีการใช้งานข้อมูล ให้มองหาตัวเลขที่อยู่ด้านข้างแผนภูมิวงกลม โดยจะมีอยู่สองชุด ชุดแรกคือ “เบื้องหน้า (foreground) คือตัวเลขแสดงปริมาณข้อมูลเครือข่ายที่ถูกใช้ไปขณะใช้งานแอพฯ ให้สังเกตอีกชุดที่ชื่อว่า “เบื้องหลัง” (background) ตัวเลขนี้คือปริมาณการใช้ข้อมูลของแอพฯ ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง หากตัวเลขดังกล่าวสูงมากเกินความจำเป็น ผู้ใช้งานสามารถแตะเครื่องหมายถูกตรงหัวข้อ “จำกัดการใช้การเชื่อมต่อข้อมูลเบื้องหลัง” เพื่อปิดการทำงาน

ใช้ประโยชน์จากฟังก์ชั่นโหลดข้อมูลล่วงหน้า (Preloading) และฟังก์ชั่นเก็บข้อมูลที่ใช้บ่อย (Caching)

การประหยัดการใช้ข้อมูลบนสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานและนักพัฒนาแอพฯ คิดมาโดยตลอด แอพพลิเคชั่นบางอย่างที่ใช้ปริมาณการโหลดข้อมูลสูงๆ เช่นพวก คลิปวิดีโอสตรีมมิ่งออนไลน์ จึงถูกออกแบบให้มีตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับการโหลดข้อมูล

4. โหลดข้อมูลล่วงหน้าสำหรับแอพพลิเคชั่นสตรีมมิ่ง

แอพพลิเคชั่นที่มีเนื้อหาเป็นคลิปวิดีโอสตรีมมิ่ง จะมีเมนูฟังก์ชั่นการตั้งค่าเพิ่มเติมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาที่รับชมผ่านทาง Wi-Fi ก่อนที่จะรับชม และยังสามารถเรียกดูในภายหลังโดยไม่ต้องใช้งานข้อมูลเครือข่าย ตัวอย่างเช่น Youtube มีฟังก์ชั่น โหลดรายการที่สมัครรับข้อมูลไว้ล่วงหน้า และฟังก์ชั่นโหลดรายการดูภายหลังไว้ล่วงหน้า เป็นต้น

นอกจากนั้นแอพพลิเคชั่นวิดีโอสตรีมมิ่งบางอย่าง อาจจะมีฟังก์ชั่นที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถรับชมคลิปวิดีโอคุณภาพต่ำขณะที่ใช้งานการเชื่อมต่อข้อมูลเครือข่าย

5. ดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูล ผ่านทาง Wi-Fi เท่านั้น

การดาวน์โหลดไฟล์เพลง, ภาพ, ภาพยนตร์ ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่ ควรปิดการเชื่อมต่อเครือข่าย และใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi แทน

6. โหลดข้อมูลแผนที่ก่อนออกเดินทาง

Google Maps เวอร์ชั่น 7.0 ขึ้นไป สามารถบันทึก Offline Maps หรือการบันทึกแผนที่บางส่วนบริเวณที่สนใจบนหน้าจอเข้ามาเก็บไว้ในเครื่อง โดยพื้นที่ส่วนไหนที่ต้องการเซฟ ให้พิมพ์ที่ช่องค้นหาว่า “OK Maps” (รองรับเฉพาะบางพื้นที่ในโลกเท่านั้น) และเมื่อแผนที่ถูกดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในเครื่องแล้ว เวลาออกเดินทางก็สามารถเรียกดูและนำทางได้โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อข้อมูล

ตรวจสอบการตั้งค่าการซิงค์ข้อมูล

ด้วยฟังก์ชั่นซิงค์ข้อมูลอัตโนมัติของ Google เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถรับทราบการอัพเดทหรือความเคลื่อนไหวล่าสุด แต่ในทางตรงข้าม การเชื่อมต่อข้อมูลและพลังงานแบตเตอรี่ก็ถูกใช้งานหนักในส่วนนี้เช่นกัน

7. ปรับตั้งค่าการซิงค์ข้อมูล

ข้อมูลบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องซิงค์ข้อมูล เช่น ภาพถ่ายหรือฟังก์ชั่นบางอย่างของ Google ที่ไม่ได้ใช้งาน ก็สามารถไปปรับตั้งค่าช่วงเวลาการซิงค์ข้อมูลให้ไม่ต้องถี่นัก ได้ที่ การตั้งค่า > บัญชีและการซิงค์ > Google และเลือกนำการซิงค์ที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้งานออกไป

8. ปิดการซิงค์ข้อมูลชั่วคราว

หากอยู่ในช่วงพักผ่อน พักร้อน หรือไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ข้อมูลอีเมล์, งาน, บัญชีรายชื่อผู้ติดต่อ ให้อัพเดทตลอดเวลา การปิดซิงค์ข้อมูลก็ช่วยลดการใช้งานข้อมูลที่ไม่จำเป็นได้เป็นอย่างดี วิธีปิดการซิงค์ชั่วคราวให้เข้าไปที่ การตั้งค่า > บัญชีและการซิงค์ > ซิงค์อัตโนมัติ (ปิด)

9. ลดการใช้ข้อมูลผ่านเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต

ถ้าหากว่าการท่องเว็บคือตัวการหลักที่ทำให้ปริมาณข้อมูลเครือข่ายของคุณถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะว่าบางเว็บไซต์ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับการใช้งานบนมือถือ แถมยังมีโฆษณาที่นอกจากจะกวนใจแล้วยังสิ้นเปลืองการใช้ข้อมูลเครือข่ายด้วย

วิธีการแก้ไขของ Google คือการสร้างฟังก์ชั่นบล็อค Pop Up ที่อยู่บนเว็บเพจเมื่อเปิดผ่าน Google Chome โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปิดกั้นโฆษณาส่วนใหญ่บนเว็บไซต์ที่มักจะอยู่ในรูปแบบ Pop Up นั่นเอง และอีกหนึ่งวิธีการคือบีบอัดข้อมูลเนื้อหาในเว็บเพจเพื่อให้มีขนาดลดลงและประหยัดข้อมูลในการดาวน์โหลด โดยเบราว์เซอร์ Opera เป็นเบราว์เซอร์ที่มีฟังก์ชั่นบีบอัดข้อมูลและสามารถแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าประหยัดปริมาณการโหลดข้อมูลไปเป็นจำนวนเท่าใด

10. ตรวจสอบปริมาณการใช้ข้อมูลเครือข่ายด้วยตัวเอง

มีแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์ที่สามารถโหลดมาเพื่อใช้งานสำหรับตรวจสอบการใช้ข้อมูลเครือข่ายภายในเครื่อง (Data Monitor, Onavo Count, Data Taffic Monitor) ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ตระหนักว่าแอพใดที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ข้อมูลเครือข่ายถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง

11. บีบอัดข้อมูลเครือข่ายที่ถูกโหลดมายังเครื่องโทรศัพท์

เป็นวิธีการสุดท้ายที่แนะนำ โดยแอพพลิเคชั่น Onavo สามารถใช้บีบอัดข้อมูลเครือข่ายที่ถูกโหลดเข้ามา วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้ข้อมูลเครือข่ายได้อย่างเห็นผล แต่ข้อเสียที่ต้องทำใจยอมรับคือการใช้งานทุกอย่างผ่านข้อมูลเครือข่ายจะช้าลงด้วย

โทรสอบถามผู้ให้บริการหรือศูนย์บริการของโทรศัพท์ที่ใช้งานอยู่

ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่ช่วยให้การใช้งานข้อมูลเครือข่ายลดลงจนอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ก็ควรโทรหรือเข้าไปสอบถามความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญดีกว่าปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซัง นอกจากจะทำให้ใช้งานโทรศัพท์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังต้องคอยกังวลกับค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่มองไม่เห็นอีกต่างหาก

อ่านเพิ่มเติม

ทำความรู้จักกับ LTE 4G

ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้โลกทุกวันนี้กลายเป็นโลกไร้พรมแดน ซึ่งทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายกว่าเดิม โดยสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารนั้นกลายเป็นเรื่องง่ายนั่นก็คือ เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุค 3G และ 4G LTE ที่เราทุกคนเคยได้ยินกันในปัจจุบัน แต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจความหมายของเทคโนโลยีนี้ว่าตกลงแล้วคืออะไร? ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ เราควรทราบถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะมาเป็น 3G และ 4G LTE ในยุคปัจจุบัน

วิวัฒนาการก่อนจะเป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย 4G LTE (ปัจจุบันประเทศไทยยังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง 3G กับ 4G LTE) ซึ่งคำว่า G ย่อมาจาก Generation แปลว่า ยุค หรือช่วงสมัย ไม่ได้หมายถึงชื่อของเทคโนโลยีที่หลายๆ คนมักเข้าใจผิด

ยุค 1G (1st Generation) เป็นยุคที่ใช้ระบบอนาล็อก (Analog) คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง (Voice) โดยสามารถโทรออก-รับสายได้อย่างเดียว ไม่สามารถส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS โดยในยุคนั้นผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่มีรายได้สูง

ยุค 2G (2nd Generation) เป็นยุคที่เปลี่ยนจากการส่งคลื่นวิทยุแบบอนาล็อก (Analog) มาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอล (Digital) แทน โดยผู้ใช้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูลก็คือสามารถส่งข้อความ SMS ได้นอกเหนือจากการโทรออก-รับสาย รวมทั้งยังทำให้เกิดการบริการต่างๆ มากมาย เช่น การเปิดให้ดาวน์โหลด Ringtone, Wallpaper ซึ่งในยุคนี้ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือ ถัดมาได้มีการนำเทคโนโลยีGPRS (General Packet Radio Service) มาใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเช่น นอกจากส่งข้อความ SMS แล้วยังสามารถส่ง MMS ได้อีกด้วย, เสียงเรียกเข้ามีการเพิ่มเสียงเป็นแบบ Polyphonic และ True tone รวมทั้งเริ่มมีโทรศัพท์มือถือที่มีหน้าจอสี นอกจากหน้าจอขาว-ดำ ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น โดยเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)ซึ่งจะมีความเร็วมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า ทำให้สามารถเข้าเว็ปไซด์ เล่นอินเตอร์เน็ตได้ แต่ความเร็วยังมีจำกัด และไม่สามารถรองรับไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้ โดยเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ถูกนำมาใช้ในระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM (Gobal System for Mobile Communication)

ยุค 3G (3rd Generation) เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 ซึ่งจะมีความโดดเด่นในเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูลโดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้สามารถใช้งานด้านมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการสนทนาผ่านวีดีโอคอล หรือดูหนัง ฟังเพลงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการบริการที่เรียกว่าแอพพลิเคชั่นอีกด้วย ในยุคนี้ถือว่าเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งยุค 3G เป็นยุคเทคโนโลยีไร้สายที่ถูกพัฒนามาจากยุค 2G ที่มีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ให้มีขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่เหนือกว่า สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี UMTS ( Universal Mobile Telecommunications System) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก ระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps

ยุค 4G หรือ (4th Generation) ถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบันสำหรับทั่วโลก (แต่สำหรับประเทศไทยเรายังคงอยู่ในยุค 3G ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 4G) ซึ่งหลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า 4G LTE และคงมีคำถามว่าแล้ว LTE คืออะไร? เกี่ยวข้องกับ 4G อย่างไร? สำหรับ LTE นั้นย่อมาจาก Long Term Evolution เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาทดลองใช้ในยุค 4G โดยเกิดจากความร่วมมือของ 3GPP (3rd Generation Partnership Project) ที่มีการพัฒนาให้ LTE มีความเร็วมากกว่ายุค 3G ถึง 10 เท่า โดยมีความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลและมัลติมีเดียสตรีมมิ่งที่มีความเร็วอย่างน้อย 100 Mbps และมีความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps นอกจากเทคโนโลยี LTE แล้วยังมีอีก 2 เทคโนโลยีที่ถูกนำมาทดลองใช้เหมือนกันคือ UMB (Ultra Mobile Broadbrand) ที่พัฒนามาจากมาตรฐาน CDMA2000 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในยุค 3G นั่นเองและ WiMax (Worldwide Interoperability for Microwave Access) เป็นเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง โดยพัฒนามาจากมาตรฐาน IEEE 802.16 ซึ่งเป็นมาตราฐานเดียวกันกับ Wi-Fi แต่มาตรฐาน Wimax สามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 40 ไมล์ ด้วยความเร็ว 70 Mbps และมีความเร็วสูงสุด 100 Mbps โดยปัจจุบันนี้มีเพียง 2 เทคโนยีที่ถูกนำมาใช้ในยุค 4G คือ เทคโนโลยี LTE และ Wimax ซึ่งเกือบทุกประเทศทั่วโลกใช้เทคโนโลยี 4G LTE แต่มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยี 4G Wimax เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน บังคลาเทศ เป็นต้น

ซึ่งในยุค 4G นี้ถือว่าเป็นยุคที่ถูกพัฒนาก้าวมาอีกขั้นโดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากกว่ายุค 3G ที่ช่วยตอบสนองการใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ดีขึ้น ทำให้สามารถส่งรับข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม และสามารถใช้โปรแกรมมัลติมีเดียได้อย่างเต็มที่ เช่น การสนทนาผ่านโปรแกรม Video Conference ในระดับความคมชัดแบบ HD, โหลดหนัง ฟังเพลง โดยไม่สะดุด และยังสามารถอัพโหลด – ดาวน์โหลดข้อมูลที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน นอกจากนี้เทคโนโลยี 4G LTE ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ทำให้สามารถใช้งานบนมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยเริ่มมีบางค่ายที่นำเทคโนโลยี 4G LTE มาทดลองใช้ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานประเทศไทยคงจะก้าวเข้าสู่ยุค 4G ต่อไป…